วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทความ เทคนิคการกลืนยา

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเช้าค่อนข้างเย็น สายก็เริ่มร้อน พอตกบ่ายก็อาจจะมีฝนตก ยังไงก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้แข็งแรงกันนะ แต่สำหรับท่านใดที่หลังจากเจอสถานะการณ์แบบนี้แล้วเป็นไข้ ไม่สบายก็ไม่เป็นไรเพราะว่าวันนี้มีเคล็ดไม่ลับในการกลืนยามาฝาก สำหรับผู้ที่ทานยาแล้วอาจจะมีอาการสำลักหรือติดคอบางในบางเวลา ในที่นี้คงเน้นไปที่การกลืนยาเม็ดและยาแคปซูลนะครับดิฉันก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับการรับประทานยาเช่นกันดิฉันจึงนำบทความมาฝาก

เทคนิคก็ไมยากอย่างที่คิดครับเพียงว่าหากท่านกลืนยาเม็ดก็ให้เงยหน้าขึ้น เล็กน้อยในขณะกลืนยาก็ยาไหลตามน้ำเข้าไปได้โดยสะดวก แต่ในทางกลับกันหากเป็นยาแคปซูลก็ให้ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อป้องกันปัญหา เปลือกยาแคปซูลละลายแล้วไปเกาะติดตรงเพดานปาก เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถกลืนยาได้โดยไม่ลำบาก.....สุดท้ายก็ขอให้สุขภาพ แข็งแรง มีความสุขกันทั่วหน้า

ที่มา:เภสัชศาสตร์ มช.

ประวัติของ web blog

Web blog คืออะไร

BlogGang คือ "Web log" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "blog" ชื่อดังกล่าวเริ่มใช้เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1997 โดยผู้ที่คิดชื่อนี้คือ Jorn Barger "weblog" (เว็บ Blog) หมายถึงเว็บไซต์ส่วนตัว ที่ผู้สร้างหรือที่เรียกว่า blogger จัด ทำขึ้นเพื่อเป็นที่บอกเล่าเรื่องราว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอบทความใหม่ๆ วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง หรืออื่นๆ ที่ผู้ใช้เห็นว่าน่าสนใจ พร้อมกันนั้น ยังเปิดให้ผู้เยี่ยมชมได้สามารถแสดงความคิดเห็นต่อ topic ต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นอีกด้วย

  • ประโยชน์ของเว็บบล็อก

Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้

1. เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง

2. ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ

3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ

4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น

5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้

6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น www.terrystrek.com

7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะ นี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย- ฝ่ายขวา , สายเหยี่ยว-สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนความคิดของตนเอง

มารยาทในที่ทำงาน



ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักแค่ไหน ทุ่มเทมากอย่างไร
ก็ไม่สามารถทำให้คุณก้าวหน้าในที่ทำงานได้
ตราบใดที่คุณยังเป็นคนที่เห็นแก่ได้ไร้ระเบียบ
และไม่เห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงานของคุณ
ถ้าจะให้ดี ความเก่งและความมีอัธยาศัยที่น่ารัก
และเหมาะสมในที่ทำงาน จะนำคุณไปสู่ความก้าวหน้า
ได้อย่างมั่นคงมากกว่ามีความเก่งอย่างเดียว..

การทำตัวให้เป็น " ที่รัก "หรือที่ " ชื่นชม "
ในที่ทำงานนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องยาก เพียงแต่ว่า
บางครั้งที่คุณทำลงไป คุณอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเกิด
อะไรขึ้นมาเลย คนอื่นๆ ก็ยังปฎิบัติต่อคุณเหมือนเดิม
คุณอย่าคิดอย่างนั้น การที่คุณทำตัวให้เป็นที่ชื่นชมนั้น
ผลที่ได้ก็เกิดกับคุณเองทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจว่า
ผลจะเป็นยังไง เพราะผลดีอันดับแรกที่คุณได้คือ
ความสุขใจ ความสบายใจ ในที่ทำงาน บรรยากาศ
ในการทำงานของคุณดี เห็นไหม แค่ผลที่เกิดกับ
คุณโดยตรงก็ดีซะจนไม่ต้องหวังผลจากคนอื่นแล้วล่ะ
แล้วอย่างไรที่เรียกว่าการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมล่ะ
อันนี้อาจจะเป็นคำถามอยู่ในความคิดของคุณ


1. เคารพความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่มีค่ามากในที่ทำงาน
คุณหวังให้เพื่อนร่วมงานเคารพความเป็นส่วนตัวของคุณ
คุณเองก็ควรจะปฎิบัติต่อเขาเช่นกันด้วยการเคารพ
ความเป็นส่วนตัวของเขา เรื่องแบบนี้ รวมไปถึง
มารยาทเล็กๆ น้อยๆ ที่บางทีเราอาจจะละเลย
หรือมองข้ามไป เช่น การเคาะประตูก่อนเข้าไป
ในห้องทำงานของเพื่อนร่วมงานของคุณ
บางทีคุณอาจจะคิดว่า " ไม่เป็นไรหรอก...
ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น .." แต่เราทุกคนก็ยังมี
โลกส่วนตัวที่ต้องการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
ใช้เวลากับความคิดของตัวเองทั้งนั้น รวมถึงตัวคุณด้วย
และบางครั้ง การที่คุณพรวดพราดเข้าไปใน
ห้องทำงานของเพื่อนคุณ ในขณะที่เขากำลัง
เคร่งเครียดกับงานความคิดกำลังไหลลื่น
แต่ก็โดนขัดจังหวะ แบบนี้เป็นใครก็คงจะรู้สึกไม่ดีทั้งนั้น
หรือถ้าไม่มีประตู ก็เคาะผนังหรือแผงกั้นห้อง
แล้วพูดว่า"ขอโทษนะครับ(ค่ะ)" ก่อนที่จะเข้าไป
เมื่อได้รับเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง

มาถึงเรื่องเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เป็นทางการ
หรือกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ของผู้อื่น คุณเองก็ไม่ควรจะไปอ่านหรือไปโยกย้าย
เอกสารเหล่านั้น เพราะมีบางคนถือว่าสมุดโทรศัพท์ของเขา
เป็นของส่วนตัว คุณควรขอจากเจ้าของเสียก่อน


2. รักษากติกามารยาท
แม้ว่าบริษัทที่คุณทำงานอยู่จะไม่เคร่งครัดในกฏระเบียบ
ก็จงอย่าใช้โอกาสนั้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของคุณเอง
จริงอยู่ที่พวกเราก็โตๆ กันแล้ว คงไม่มีการมายืนต่อว่า
หรือตะโกนไล่หลังคุณมา แต่สิ่งที่คุณทำก็จะถูกนำไป
วิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดี คุณอาจจะคิดว่าการกลับบ้าน
ก่อนเวลาสัก 10 นาที ก็ไม่เป็นไร แต่ที่จริงแล้ว
การที่คุณกลับก่อนคนอื่น และยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำนั้น
บอกถึงความไม่เป็น Professional ในหน้าที่การงาน
ของคุณเลย นอกจากนี้คุณยังจะทำให้เพื่อนร่วมงาน
ที่ต้องทำเวลาล่วงหน้า รู้สึกเหมือนพวกเขาโดนเอาเปรียบ
เขาอาจจะไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่เชื่อเถอะว่า
ภายในจิตใจของพวกเขาก็รู้สึกไม่ดีกับคุณเข้าไปแล้ว
การล่วงละเมิดกฏอย่างน่าเกลียดอื่นๆ ก็ได้แก่
การโกงค่าใช้จ่ายที่บริษัทออกให้อย่างไม่เหมาะสม
เช่น การเข้าไปหยิบข้าวของในตู้เก็บเครื่องใช้ในสำนักงาน
โดยพลการ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำในที่ทำงาน


3. มีมารยาทในที่ทำงาน
มารยาทในที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
อาจจะดูเหมือนเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่ผลกระทบ
จากสิ่งเหล่านี้ก็มีผลต่อหน้าที่การงานของคุณได้เช่นกัน

การใช้โทรศัพท์ กรณีที่คุณติดต่องานและคนที่
คุณต้องการพูดด้วยนั้นไม่อยู่ล่ะก็ อย่าสร้างความลำบากใจ
ให้กับคนรับฝากข้อความด้วยข้อความยาวๆ แต่จับใจความ
ไม่ได้ของคุณจะดีกว่า คุณอาจจะฝากข้อความไว้กับเทปอัด
หรือ ถ้าจะฝากข้อความ ก็ขอให้เป็นข้อความสั้นๆ กระชับ
ได้ใจความที่สำคัญ และสิ่งเหล่านี้ ก็บ่งบอกถึงลักษณะ
การทำงานของคุณด้วยว่าคุณเป็นคนที่ทำอะไรอย่างฉับไว
ได้ใจความ เป็นมืออาชีพ และถ้าเพื่อนของคุณโทรมาหา
ที่ Office ในขณะที่คุณประชุมอยู่ คุณเองควรบอก
เหตุผลเพื่อนไปว่าเหตุใดคุณถึงไม่สามารถรับฟังปัญหา
ของเจ้าหล่อนได้ในตอนนี้ บอกเธอซะว่าคุณติดประชุม
มันเป็นภาพที่ไม่ดีเลยที่ให้คนอีกหลายคนในห้องประชุม
มานั่งรอคุณเพียงคนเดียวกับเรื่องแบบนี้ และถ้าเพื่อนคุณ
เข้าใจเขาไม่มีทางที่จะโกรธคุณหรอก เพราะคุณก็มีเหตุผลนี่นา
การใช้เครื่องถ่ายเอกสาร เมื่อคุณกำลังถ่ายสำเนาเอกสาร
เป็นจำนวนมากๆ แต่เพื่อนร่วมงานของคุณต้องการ
ถ่ายเอกสารสำหรับงานของเขาเพียงแค่แผ่นเดียว
คุณก็ควรจะมีน้ำใจให้เพื่อนร่วมงานได้ถ่ายเอกสารก่อน
เพราะเพียงแค่แผ่นเดียวก็ไม่ได้ทำให้งานของคุณ
ช้าลงไปสักเท่าไรหรอก แต่สิ่งที่คุณได้รับคือ
ความชื่นชมในการมีน้ำใจของคุณ ซึ่งมีคุณค่า
มากกว่ากันเยอะเลย และอย่าลืมเติมกระดาษ
ถ้ากระดาษในเครื่องถ่ายเอกสารหมด หรือ
ถ้ามีเอกสารติดขัดอยู่ในเครื่องถ่ายเอกสาร
คุณก็ไม่ควรเดินหนี ละเลยจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
คุณควรแก้ไขเพื่อให้ผู้ใช้อื่นสามารถใช้งานได้ต่อ
และถ้าคุณไม่สามารถแก้ได้ การที่คุณเอ่ยปาก
ขอร้องจากคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย
ถ้าคุณมัวแต่อายกับการขอความช่วยเหลือ
เรื่องเครื่องถ่ายเอกสาร ไม่มีใครเขาคิดหรอกว่า
" แหม..เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ทำไม่เป็น "
( แต่ถามแล้วก็ต้องเรียนรู้และจดจำด้วยนะ ไม่ใช่ว่า
ถามบ่อยๆ แบบนี้ก็ไม่ไหว ) มันจะดีกว่าการที่คุณ
ลุยแก้ในสิ่งที่คุณไม่รู้ และทำให้เครื่องเกิดชำรุดเสียหาย

อย่าขัดจังหวะบทสนทนา คุณไม่ควรขัดจังหวะบทสนทนา
ระหว่างเพื่อนร่วมงานสองคน เว้นแต่จำเป็นจริงๆ
หรือที่ร้ายไปกว่านั้นคือ อย่าขัดจังหวะบทสนทนา
ระหว่างเพื่อนร่วมงานกับเจ้านาย (เพื่อนร่วมงานของคุณ
อาจจะรอโอกาสมาหลายวันแล้วกว่าจะได้มาพูดคุย
กับเจ้านาย โดยไม่ได้ตระเตรียมมาก่อนเช่นนี้)
ถ้าคุณมีส่วนร่วมในการสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่
ก็ขอให้ทำการสนทนากันแบบสามความคิด
ดีกว่าทำเพิกเฉยหรือพูดคุยโดยไม่สนใจคนอื่นเลย


มารยาทในห้องเรียน


มารยาทในห้องเรียนซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่ายๆและหลายๆคนก็พอจะรู้จักและปฏิบัติได้ดังนี้
1 ต้องตั้งใจเรียน เป็นการแย่มากๆหากว่าเราจับกลุ่มคุยแข่งกับอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียน หรือสนใจในการอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าบทเรียนในชั่วโมงทุกคนลองคิดดูว่า อาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวไม่สามารถตะเบ็งเสียงแข่งได้
2 ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ถึงแม้เราจะเบื่อในวิชานั้นๆก็ไม่ควรไปชวนเพื่อนคุยหรือรบกวนใดๆก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรให้ยกมือถามอย่าไปถามเพื่อนขณะเรียนเพราะ เพื่อนอาจเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเรา
3 เชื่อฟังคำตักเตือนของอาจารย์ บางครั้งที่เราทำผิดหรือเราอาจจะดื้อรั้นกับอาจารย์ที่สอนอยู่ อาจารย์อาจจะต่อว่า ตักเตือนหรือตีก็ไม่ควรทำอวดดีหรือโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น
4 แสดงนำใจต่อเพื่อนๆ บางครั้งเพื่อนของเรามาเรียนไม่ทันหรือขาดเรียนไปเราควรอธิบายวิชาที่เราพอ จะสามารถอธิบายใหเพื่อนเราฟังได้ หรือเพื่อนขาดอุปกรณ์การเรียน ถ้าเรามีก็ควรจะแบ่งปัน เพราะในการเรียนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเมื่อทำกิจกรรมต่างๆอยู่แล้ว
5 มีความรับผิดชอบ นอกจากการเรียนในวิชาต่างๆแล้วยังต้องมีแบบฝึกหัดให้เราทดลองและเราจะต้องมี ความรับผิดชอบโดยการทำส่งให้ครบตามกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้มีนิสัยที่ไม่ดีติดตัว

เทคนิคการเรียนเก่ง


ในการเรียนให้เก่งนั้น ต้องอาศัยทักษะต่างๆ และหมั่นฝึกฝน อดทนและขยันอยู่เสมอ ซึ่งขั้นตอนในการปฎิบัติและวางแผนในการเรียนให้เราเรียนเก่งๆนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. การเตรียมตัวก่อนไปโรงเรียน

ข้อคิดนี้สำคัญ และมองข้ามไม่ได้ค่ะ เราต้องรู้จักประมาณตนในการเข้านอนค่ะ โดยปกติแล้วคนที่หลังจากเลิกเรียนแล้ว เรียนพิเศษโดยเฉลี่ยประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับบ้านมากินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน และอ่านหนังสือทบทวน ไม่น่าจะเข้านอนเกิน 5 ทุ่มนะคะ

สาเหตุที่เราเข้านอนเกินเวลา

- เลิกเรียนแล้วเที่ยวเตร่ไม่รีบกลับบ้าน

- มัวแต่เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งถ้าทำเพื่อคลายเครียดก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง และไม่ควรทำทุกวัน เพราะจะทำให้เราติดเป็นนิสัย

- เล่น msn เพื่อแชตในเรื่องไร้สาระ จะทำให้เราไม่ดูเวลา ติดเป็นนิสัย

- ดูละครไป ทำการบ้านไป

- การบ้านค้างไว้นานๆ แล้วมารีบทำเมื่อถึงวันที่จะส่งแล้ว

เมื่อเราหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ขอให้เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันจะได้เกิดความเคยชิน และเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ห้ามหลับต่อ และอย่าลืมรับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนนะคะ

2. จุดประกายในห้องเรียน

- พยายามเลือกที่นั่งด้านหน้า ใกล้ครูให้มากที่สุด

- ถ้าเลือกที่นั่งไม่ได้ จำเป็นต้องนั่งข้างหลัง ก็ห้ามปรามเพื่อนรอบข้าง อย่าให้เขาชวนคุย เพราะจะรบกวนสมาธิ

- ถ้านั่งริมหน้าต่าง ริมประตู อย่าไปสนใจสิ่งรอบข้าง

- ไม่ต้องกลัวเวลาอาจารย์ถาม ถ้าเราตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาดี จะทำให้เรามีความมั่นใจเวลาอาจารย์ถามคำถาม

- เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบยกมือถามอาจารย์ทันที ไม่ต้องกลัวอายเพื่อน อย่าลืมค่ะ "ด้านได้อายอด"ค่ะ

3. หูฟัง ตามอง มือเขียน

- มีสมาธิในการฟัง

- มองสิ่งที่อาจารย์เขียนให้ดูบนกระดาน แล้วรีบจดลงไปในสมุด

- ไม่ควรฟังไป เขียนไป จะทำให้เราพลาดเนื้อหาที่สำคัญๆ เราควรฟังให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยบันทึก

4. ชั่วโมงต่อไป ทำไงดี

- อย่าเพิ่งรีบเก็บสมุดบันทึกก่อนค่ะ ให้จดหัวข้อว่าวันนี้เรียนอะไรในสมุดอีกเล่ม เพื่อจะได้กลับไปทบทวนที่บ้าน

- จดโน้ตคำถามสั้นๆไว้ในส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ คาบต่อไปจะได้ไม่ลืมถามอาจารย์

- ลืมความเครียด ความกังวลในคาบก่อนหน้านั้นให้หมดสิ้น

5. จุดประสงค์การเรียนรู้ หลักสูตร หรือโครงสร้างเนื้อหา มีความสำคัญ

ถ้าเรารู้จุดประสงค์การเรียนรู้ของวิชานั้นๆ จะทำให้เรามีทิศทางในการเรียน เปรียบเสมือนแผนที่ที่คอยบอกว่า เราควรเดินไปในทิศทางไหนค่ะ และมีส่วนสำคัญให้เราเลือกซื้อหนังสือไว้อ่านเพิ่มเติมด้วย

6. จับประเด็น

- ฟังอาจารย์ให้ดีๆ ตรงไหนอาจารย์เน้นคำ โดยใช้คำพูดที่หนักแน่นขึ้น

- ตรงไหนอาจารย์พูดซ้ำ 2 รอบ

- หัวข้อที่อาจารย์พูดถึงว่า ออกสอบบ่อยๆ

- แนวแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาก็บอกใบ้แนวข้อสอบค่ะ

7. สังเกตสไตล์การสอน

- ถ้าอาจารย์ชอบให้ซักถาม ก็เตรียมคำถามไว้ถามล่วงหน้า

- ถ้าอาจารย์ชอบสอนไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่านักเรียนตามทันหรือไม่ ก็ไม่ควรขัดจังหวะ โดยการถามคำถามอาจารย์ก่อน ให้จับประเด็นที่อาจารย์เน้นเอาเอง และค่อยถามอาจารย์นอกเวลา

- ถ้าอาจารย์บรรยายน่าเบื่อ ฟังแล้วง่วงนอน ให้ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนเป็นนักจับประเด็น และเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว พยายามท้าทายตัวเองว่า ต้องเป็นคนช่างสังเกตให้ได้ เหมือนกำลังเล่นเกมนักสืบ

- อย่ามีอคติกับผู้สอน เพราะจะทำให้การเรียนน่าเบื่อ ซึ่งมีผลต่อคะแนน ความตั้งใจ และความเข้าใจตลอดเทอม

8. เรียนอย่างเข้าใจ หาใช่เพื่อสอบผ่าน

ฟังดูอาจเป็นผลดีที่ขยันเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อสอบผ่านวิชานั้น ก็เป็นอันว่าหน้าที่นั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อหานั้นอีกต่อไป ถ้าต้องเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ค่อยไปรื้อฟื้อความเข้าใจเพื่อการสอบออกมาใหม่ นี่เป็นความคิดที่ผิดค่ะ

ความเข้าใจอย่างแตกฉาน จะมีประโยชน์ต่ออนาคต ต่อการดำรงชีพ ถ้าคิดแบบนี้ จะทำให้สามารถอธิบายวิเคราะห์ สรุปเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ

เพราะฉะนั้น การเรียนไม่ใช่การท่องจำเพื่อการสอบอย่างเดียว